Pages

Thursday 16 May 2013

My Birth Story


ย่างเข้าเดือนที่เก้า ท้องใหญ่มากกก ทำไมท้องฉันมันใหญ่อย่างนี้ มิดไวฟก็บอกว่าลูกเราขนาดปรกตินี่นา ทรมาน นอนก็ลำบาก หงายก็ไม่ได้ หายใจไม่ออก จะนอนตะแคงก็ชาไปทั้งด้าน จะกลับข้างทีก็ต้องลุกขึ้นมานั่งแล้วค่อยนอนลงไปใหม่ ขยับพลิกตัวทีเตียงสะเทือน นี่ยังไม่นับขยับทีตดทีนะ ประสานเสียงบรรเลงเป็นเพลงร็อค ฮ่าๆๆ สามีรับไม่ได้ เดือนร้อนต้องขอตัวไปนอนพื้นแทน โดยให้เหตุผลว่า "ก็ที่รักจะได้นอนสบายๆ งัย" ย่ะ นึกว่าฉันไม่รู้ทันหรือไง แต่โอเคร เตียงมันแคบ นอนคนเดียวสบายกว่า
...จะไปไหนมาไหนทีก็ลำบาก เดินมากก็ไม่ได้ มันปวดหลัง ปวดขา ปวดบั้นเอว เดินกะเพลกๆ เส้นยึด เส้นตึง (ไม่ได้ขี้เกียจอย่างที่บ้านคุณสะมีแอบจิกคอมเม้นท์ แบบว่า ไอท้องไอยังเดินได้ อ้าวก็ท้องยูมีอยู่แค่นั้น ดูเผินๆนึกว่าลงพุงเล่นๆ มาแอบด่าไอ แหมๆ ถ้าท้องอีกทีขอให้ท้องใหญ่กว่าฉันเลยนะยะ กรรมมีจริงนะเฟ้ย) ก็เลยติดแหง็กอยู่กับบ้านมันทุกเกือบทุกวัน เบื่อมาก อากาศก็มืดๆ มัวๆ สลัวๆ เทาๆ เห็นแล้วเซ็ง อยากทำร้ายเพื่อนบ้าน ฮ่าๆ เกี่ยวกันไหม๊นี่ (คือ ไม่ถูกกันอ่ะค่ะ)

...จะกินอะไรก็ลำบาก อาหารย่อยยากแน่นไปหมด เศร้ามากสำหรับคนชอบกินอย่างเรา อดแดรกนี่เป็นอะไรที่รับไม่ได้  เหลืออยู่สิ่งเดียวที่เรามุ่งมั่นตั้งตารอ คือ คลอดลูก ขอบอกว่า ช่วงนี้ตกมัน ฮ่าๆ ห้ามใครเข้าใกล้ ไม่งั้นโดนแดรกไม่รู้ตัว ช่วงนั้นถือศีลงด งดรับแขก งดเยี่ยม งดเจอบ้านสะมี (ฮิ ฮิ นิ๊ดนุง ถือเป็นการผ่อนคลาย) ช่วงนั้นนับวันรอเลยนะ  กำหนดคลอดวันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม บ๊ะ มีให้ลุ้น มันก่อนวันคริสมาสต์แค่ไม่กี่วัน กลัวเหลือเกิน ไม่อยากคลอดช่วงเทศกาล ไม่ชอบ ไม่อยากให้วันเกิดลูกไปตรงกับวันคริสมาสต์ เพราะ

มันเป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดของปีที่อังกฤษนี่ ใครจะมาสนใจวันเกิดใช่ม่ะ บอกลูกในท้องทุกวันว่า ถ้าอยากได้ของขวัญหลายชิ้น ห้ามคลอดตอนคริสมาสต์นะลูก (จริงๆ คือ อิแม่ทำใจฟังหมอพยาบาลร้องเพลง ho ho ho jingle all the way ไม่ด้าย และกลัวหมอพยาบาลเมาเพราะฉลองติดลม ว่าไปนั่น และฝรั่งอังกฤษน่ารำคาญตรงที่ว่า เรียกซานตาคลอสว่า ฟาเตอร์คริสมาสต์ กรูล่ะเพลีย เสียเส้น ฟังยังกะบาทหลวง เถียงกะสามีทุกปี) อร๊าย นอกเรื่องอีกล่ะ ฮ่าๆ ต่อๆ ...ใจตอนนั้นอยากให้คลอดก่อนกำหนดมาก ไม่ไหวแล้ว ไม่เคยอึดอัด "อืด" "แน่น" ทรมานแบบนี้มาก่อน ถามแม่เรา ชีก็คลอดก่อนกำหนดทุกท้อง เอาว่ะ เราก็น่าจะมาแนวเดียวกับแม่เราสิ ชิมิส์???

...พอถึงวันศุกร์ป๊าป ลุ้นมาก โอ๊ะจะเป็นวันนี้หรือเปล่านะ ลูกเราอาจเป็นเด็กตรงเวลา สามีก็ลุ้น... แต่ แป่ว แห้ว แต้ว ไม่มีสัญญาณอะไร ใดๆ ทั้งสิ้น เฮ้อ ก้มหน้าก้มตารอกันต่อไป

...พอวันเสาร์ก็คุยกับสามีว่า หาอะไรแดรก เอ๊ย ฮ๋าๆๆ ไม่เอาๆ พูดเพราะๆ "ที่รักเราจะฉลองเทศกาลคริสมาสต์กันดีไหม๊?" (คือไม่มีอารมณ์ฉลองอ่ะ อึดอัดมาก แต่ห่วงกิน) เรามาเตรียมอาหารกันเถอะ ถ้าคลอดก่อนก็จะได้เก็บไว้กินได้ ถ้าคลอดตอนเทศกาลเราก็จะได้กินที่บ้าน ไม่ต้องไปต่อคิวกินที่ร้านอาหาร มันแพง คนก็เยอะ ที่สำคัญ กลัวน้ำแตก..เอ๊ะ หรือเค้าเรียก น้ำเดิน?? ฮ่าๆๆ อย่าถือสานะคะ ภาษาไทยอ่อนแอ นานๆใช้ทีมันลืม ไม่ได้ดัดจริตแต่อย่างใด ก็กระเตงกันไปซุปเปอร์มาร์เก็ตหาซื้อของกินกัน

...พอวันอาทิตย์ก็เริ่มปวดหน่วงๆ แถวท้องน้อย แต่ตอนนั้นร่างกายมันปวดทุกส่วนอยู่แล้ว เลยคิดว่า สงสัยคงเป็นเพราะออกไปเดินเมื่อวานมั้ง วันนี้กล้ามเนื้อเลยประท้วง ก็ไม่ได้เอะใจอะไร พอตกกลางคืน ช่วงตีสามกว่าๆ ก็ลุกมาเข้าห้องน้ำตามปรกติ ปรากฎว่ามีเลือดติดกกน. มาพอควร แต่ไม่มีอาการอื่นๆ ก็รีบไปปลุกสามี ที่พอได้ยินก็แทบร่วงออกจากเตียง นึกว่าเมียจะคลอด อ่านจากหนังสือเค้าว่า มันเป็นสัญญาณอย่างนึงว่า ใกล้คลอดแล้ว (เออ รออยู่หลายวันแล้วเนี่ย) แต่เพื่อให้ชัวร์โทรไปถาม midwife (พยาบาลผดุงครรภ์) ที่รพ. ว่าควรทำไงดี เค้าก็บอกว่าให้อยู่บ้าน คอยดูอาการปวดท้องไป และให้นับจับเวลาไว้ ถ้ามันถี่ๆแบบห่างกันแค่ไม่กี่นาทีแบบสม่ำเสมอ หรือน้ำเดิน ก็ให้มารพ.ทันที โอย ตื่นเต้น กลัวด้วย ตกลงฉันจะคลอดตอนเทศกาลหรือเปล่าเนี่ย??

...พอวันจันทร์ x'mas eve กลางวันก็ปวดหน่วงๆตลอดวัน ตอนกลางคืนประมาณสักตีหนึ่งกว่าๆ ก็เริ่มมีอาการปวดท้องบีบๆ ประมาณช่วงท้องจากสะดือลงไป ทั่วทั้งท้อง สักพัก แล้วก็หาย แล้วก็เป็นอีก คล้ายๆ กับอาการท้องแข็งแต่ปวดกว่า แต่เวลาห่างกันไม่สม่ำเสมอ เริ่มจากปวดแบบพอทน จนปวดแบบกรูชักจะไม่ไหวแล้วนะ จนปวดกรูนอนไม่ได้แล้วนะ คุณสามีก็เลยเอาเครื่อง TENS machine ที่เช่ามา ลองใช้ดู ตอนนั้นง่วงทั้งคู่ ไอ้เราก็เหนื่อยมาก อารมณ์บูดเพราะนอนไม่พอ ไม่ได้นอนมาหลายวันแล้ว พอเจอไอ้เครื่องนี่กระตุ้นกระแสไฟเข้าที่หลังแบบไม่ทันตั้งตัว ก็เม้งบ้านแตกกันเลย สามีดันกดเพิ่มระดับสาทิตให้ดูว่าทำไง คือ เค้าลืมไปว่า ควรลองกะตัวเองก่อนที่จะมาลองกะเมีย โห พออยู่ๆก็โดนช็อตแรงๆ แทบจะเอาไอ้เครื่องนี่ทุ่มหน้าสามี ณ ตอนนั้นเลย ต้องปลอบกันอยู่นาน กว่าจะสงบ สามีจ๋อยเลย เป็นห่วงลูกในท้อง กลัวโดนช็อตไปด้วย ไม่ได้ห่วงเมียแต่อย่างใดค่ะ พอสักพัก ติดตั้งลงตัว ว่ะ ไอ้เครื่อง TENS นี่มันก็ช่วยได้อยู่นะ กระแสไฟอ่อนๆ แบบตื้อๆ ที่หลัง ช่วยหันเหความสนใจออกจากการปวดบีบที่ท้องได้พอควร มันเจ็บจี๊ดๆ ตอนแรกๆ แต่พอชินมันก็เจ็บแบบตื้อๆ ทนกันได้ (*คำเตือน ถ้าสายที่เสียบเครื่องมันหลุด อย่าโง่เหมือนดิฉันนะฮะ ให้ปิดเครื่อง แล้วต่อสายเข้าเครื่อง แล้วค่อยเปิดเครื่องใหม่ อย่าเอาสายต่อเข้าเครื่องทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ปิดเครื่อง ไม่งั้นคุณเอ๊ย มันช็อตอย่างแรง เจ็บจนน้ำตาร่วงกราวทีเดียว ได้ร้องเสียงหลงลั่นบ้านแน่ๆ*) ก็ใช้ไอ้เครื่องนี่ทั้งคืน พร้อมกับใช้แอพมือถือจับเวลาความถี่ในการปวดท้อง จนเช้าอ่ะ ปวดท้องทั้งคืน ไม่ได้นอนกันเลย ตาโหลเป็นปอปกันทั้งคู่

...เช้าวันรุ่งขึ้นวันอังคาร วันคริสมาสต์ไอ้เครื่องนี่เริ่มจะเอาไม่อยู่ อาการปวดบีบมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่เนื่องจากมันปวดถี่ไม่พอ เลยยังไปรพ.ไม่ได้ ก็เลยต้องอยู่บ้านกันไป ก็งัดวิชา NCT ที่ไปเรียนมาเอามาใช้ ไม่ว่าจะนั่งส่ายตูดบนลูกบอล ฮ่วย ไม่เห็นมันจะช่วยอะไรเลย ..ลงไปคลานสี่ขา บิดสะโพกไปมาก็ลุกไม่ขึ้นอีก ว่ะ นั่งบนเก้าอี้โน้มตัวไปข่างหน้าแล้วให้สามีนวดหลังให้ก็ยังปวดท้องอยู่ดี อารมณ์อึมครีมมากเวลานั้น มันเหนื่อยอ่ะ นอนไม่ได้มาหลายวันแล้วเพราะปวดท้อง แต่ไหนๆก็ไหนๆ แล้ว ไปรพ.ก็ไม่ได้ สามีก็เลยอบไก่งวงเตรียมอาหารให้กิน เผื่อจะช่วยให้เรารมณ์ดีขึ้นมั่ง พอตกบ่ายก็มานั่งกินกัน ไอ้เราก็กินไก่งวงไป ปวดท้องคลอดไป โดนกระแสไฟช็อตที่หลังไป ได้อารมณ์ ฟินมากค่ะนาทีนั้น กินไป ร้องไห้ไป ด่ารพ.ไป แต่ก็ยังกินต่อ ฮ่าๆ ไม่ใช่ว่าหิวหรืออะไร แต่สามีบอกว่า ถ้าไปคลอดหรือถ้าต้องผ่า เค้าจะไม่ให้กินอะไรเลย ให้พยายามกินตอนนี้ซะ จะได้มีแรงคลอดลูก เลยจำใจกินทั้งๆที่ปวดท้องนั่นแหล่ะ ..พอตกกลางคืน ตอนตีสองอาการปวดบีบจัดๆ มาอีกแล้ว เฮ้ย ชักเริ่มถี่ ไม่ต้องนอนกันล่ะคะ ต้องลุกขึ้นมานั่งตัวงอเพราะอาการปวด สามียื่นมือมาให้บีบ (มันคิดผิดมาก) บีบซะมือเค้าแดงกล่ำเลย พอตีสามไม่ไหวแล้วกรู ทำไมปวดนรกแบบนี้ ให้สามีโทรไปรพ.ถามว่า ยังไงดี เค้าก็จะคุยกับเรา ไอ้เราก็ปวด ฮ่วย ยังจะให้กรูพูดโทรศัทพ์อีก ถามอาการมันอยู่นั่นแหล่ะ จนสุดท้ายเค้าบอกว่า ถ้ายูยังพูดโทรศัพท์กับไอได้แสดงว่ายูยังปวดไม่พอ อ้าวๆๆ พูดงี้ก็สวยสิ มันปวดนะโว้ย ปวดมากด้วย แต่มิดไวฟยืนยันว่า เรายังไม่ถึงเวลาคลอด อัดยาพาราไป ตอนนั้นเริ่มคิดแล้วว่า ตกลงไอ้ที่กรูปวดท้องไม่ได้นอนมาสามสี่วันเนี่ย มันไม่นับว่าปวดท้องคลอดเหรอว่ะ ปวดจนตะโกนลั่นบ้านแล้ว และถ้าปวดแบบจะคลอดจริงนี่มันจะยังไง จะไหวไหม๊ว่ะเนี่ย?

...วันพุธ Boxing day (วันที่ร้านค้าต่างๆ Sales ฮ่าๆๆ ยังมีกะใจจะช้อป คนไทยขนานแท้ค่ะ) วันนี้ไอ้เครื่องเทนส์ทำให้ผิดหวังมาก อาการช็อตมันไม่ช่วยหันเหอาการปวดใดๆ แล้ว ปวดเลยจุดโทษ ฮ่าๆๆ เลยทอดออกเลย พอตกบ่ายลูกไม่ค่อยดิ้น ใจไม่ดีเลยค่ะ รีบโทรไปรพ. ทีนี้เค้าบอกให้เข้าไปเช็คลูกดิ้นเลย และไหนๆ ไปแล้ว เราก็เลยกะจะขอให้เค้าเช็คปากมดลูกด้วยเลย (ขอบอกว่า คิดผิดมาก ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ อย่าไปขอให้พยาบาลตรวจปากมดลูกด้วยมือเลยค่ะ เจ็บนรกมาก อันนี้ประสบการณ์ส่วนตัวนะคะ ใครไม่เจ็บก็ดีใจด้วย) พอไปถึงรพ. ก็เจอมิดไวฟคนจีน เค้าก็จัดการวัดเคลื่อนหัวใจลูก ขั้นตอนนี้ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็น่าจะเสร็จ เคยไปวัดมาแล้วหลายครั้ง แต่คุณพยาบาลเค้าหายไปนานมาก คาดว่าคงกลับบ้านไปปลูกข้าว เพราะนอนรอนานมากเมื่อไหร่จะมาถอดสายวัดซะที กรูไม่ไหวแล้วนะ ปวดฉี่ หายไปนานเกินจน ไม่รอแล้ว ถอดสายออกเองก็ได้ว่ะ แล้วก็เดินไปเข้าห้องน้ำ กลับมาต่อสายใหม่แล้วนอนรอ กว่าจะกลับมาเช็คเราก็เกือบสองชม. พอชีตรวจเบบี๋เสร็จ บอกว่าเบบี๋โอเค เราก็ขอให้ชีเช็คปากช่องคลอดให้เลย ว่าเปิดหรือยัง ปวดจะตายอยู่แล้ว รพ.ไม่แอดมิดสักที แถมคิดในใจ โชคดีจังเจอคนจีน มือเล็กๆ  (แมร่ง..คิดผิดอย่างแรง) ชีไม่รู้จักจำว่า ค่อยๆ ค่ะ ชีห่อมือได้ ก็ยัดเข้าช่องคลอดมาเลย เจ็บกว่าปวดท้องคลอดเสียอีก เราก็ตะโกนบอกเบาๆค่ะ มันเจ็บ ชีก็บอกเรา "ยูต้องผ่อนคลาย" แล้วก็ยัดมือเข้ามาต่อ ไม่ให้โอกาสเราหายใจ หรือทำใจเลย โห ผ่อนเอี้ยอะไร เจ็บจะตายอยู่แล้ว เลยบอกชีไปว่า give me a little break (หยุดพักนิดคุณพยาบ้าล ก่อนที่จะยัดมือเข้ามาอีก) พอชีได้ยินดังนั้น ก็ไม่รอช้า ดึงมือออกพรวด น้ำตานอง อาบสองแก้ม...ของอิฉันเลยค่ะ เจ็บนรก ตอนนั้นด่าคุณพยาบาล (ในใจ) ทุกภาษาที่นึกได้ ข่า เอ๊ย กูบอกให้เมิงหยุดสักนิด ให้กูได้พัก แล้วค่อยๆ เช็คต่อ ไม่ใช่ดึงมือออกพรวดพราดแบบนี้ ช่องคลอดนะโว้ย ไม่ใช่ท่อระบายน้ำ เป็นประสบการณ์เช็คช่องคลอดครั้งแรกที่น่ากลัวมาก เฮ้อ.. ตอนชีดึงมือออกมา สามียืนข้างๆ ลมแทบจับ เพราะเลือดติดถุงมือมาแบบย้อยเลยค่ะ เราเห็นก็พาลจะเป็นลมตามไปด้วย พอชีเอาถุงมือนั้นทิ้งไปแล้ว ก็หันมาบอกเราว่า ยูไม่ผ่อนคลาย ไอเช็คลำบาก ไอคิดว่าปากมดลูกยูยังไม่เปิด ไอจะพยายามปาดให้เปิด แต่ยูโอดโอย ไอเลยทำไม่ได้ อืม ยูจะลองอีกครั้งไหม๊? ฮ่ะ อีหอย มาด่ากรูอีก ก็กรูทั้วปวดท้อง ทั้งเจ็บจะไม่ให้ร้องได้ไง ไม่ต้องแล้ว กลับบ้านก็ได้


...วันรุ่งขี้น พฤหัส เรามีนัดกับ consultant(คิดว่าน่าจะเป็นหมอเชี่ยวชาญเฉพาะด้านหรือไงนี่แหล่ะค่ะ) ตอนนั้นสิริรวม สี่วันแล้ว ที่ไม่ได้นอนเลย ชีวางแผนจะช่วยปาดช่องคลอดกระตุ้นให้เปิด พอได้เวลานัด เราก็รีบบอกเลยว่า แวะมารพ.เมื่อวาน เช็คแล้วมิดไวฟว่า ช่องคลอดไม่เปิด ก็ไม่ต้องปาดอีกหรอก ไอกลัวมาก แต่ขอให้ช่วยให้ไอนอนหลับแทนได้ไหม๊ เหนื่อยมาก ไม่ได้นอนมาสี่ห้าวันแล้ว ไม่มีแรงเลย จะเป็นลม สภาพตอนนั้นนี่น่ากลัวมาก แทบล้มทั้งยืนเพราะความเพลีย ชีเลยบอกว่างั้นยูต้องค้างรพ.หนึ่งคืน เพราะยาที่เค้าจะให้เรานั้นมันแรง ต้องมีคนคอยแลตลอดเวลา ก็เลยกลายเป็นว่า คืนนั้น (วันพฤหัส) ก็ค้างที่รพ.เลย ตอนนั้นสี่โมงเย็นกว่าๆ พอได้เตียง (ห้องรวม) เค้าก็จัดการเช็คคลื่นหัวใจลูกเราอีก ระหว่างนั้นสามีก็กลับไปเอากระเป๋ามาให้เรา และนั่งอยู่เป็นเพื่อนได้แค่สองทุ่มแค่นั้น ตอนเย็นเราก็ได้กินอาหารรพ. เห็นแล้วเศร้าเอาอะไรมาให้กรูกินเนี่ย แซนวิชชืดๆ กินไปร้องไป สามีก็สงสาร แต่ก็ต้องกิน พอเสร็จแล้วพยาบาลก็ให้เรากินยา บอกว่าเดี๋ยวก็หลับ  หอยเอ๊ย ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยไหนบอกยาแรง พอเราเรียกมิดไวฟมาถามว่า ทำไมเรายังนอนไม่ได้ เหนื่อยแล้วนะ มากด้วย เค้าก็บอก แปลก ปรกติได้ผลนะ เราก็ขอยาใหม่อีกรอบ เค้าบอกว่าต้องรออีกสี่ชม.ถึงจะให้ได้อีกครั้ง ยามันแรง? เฮ้อ..ตรงไหนวะ กรูยังไม่หลับเลยเนี่ย จนห้าทุ่มอ่ะคะ กว่าจะได้ยาอีกรอบ  ระหว่างนั้นก็นอนฟังเสียงเตียงตรงข้ามดูทีวีเสียงดังลั่น ไม่ได้เกรงใจคนพยายามจะนอนพักเลย อีกเตียงก็โทรศัทพ์ตลอด กว่าจะสงบ ล่อเข้าไปเที่ยงคืน  แต่เราก็ยังนอนไม่หลับเพราะปวดท้อง กดเรียกมิดไวฟเป็นว่าเล่น กะว่า ถ้ากรูไม่หลับ เมิงก็ไม่ได้พักหรอก แล้วก็จริง ไม่ได้นอนทั้งคืน หมอมาตรวจตอนเช้า กังวลสิ ตาเราดำเป็นแพนด้า สภาพเน่ามาก ปวดท้องคลอดมาสี่วันเต็มๆ ไม่ได้นอนเลย ซอมบี้สุดๆ ชีพจรลูกเราก็ผ่อนลงด้วย ท่าไม่ดี หมอเค้าเลยแอดมิดเราไว้ที่รพ.เลย และทำการ เร่งคลอด induced ให้เราก่อนกำหนดตั้งหนึ่งวันแหน่ะ (ตอนนั้น ไม่รู้เลยว่า ช่วงเวลานรกนาทีทอง ได้เริ่มขึ้นแล้วค่ะ... ไอ้อาการปวดท้องที่ผ่านมาสี่วันนั้น เทียบไม่ได้เลย กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น)

...วันศุกร์ ตอนสายๆ มิดไวฟจัดการเอกสารต่างๆ แอดมิดเราเข้ารพ. สามีรีเควสขอห้องเดี่ยว เราจะได้นอนพัก เพราะห้องรวมเสียงดังทั้งคืน เมียไอไม่ได้พักเลย ทางรพ.ก็จัดห้องเดี่ยวให้เราเลย สภาพเราตอนนั้นคงเน่าได้ที่ กลัวคนไข้เดี้ยงมั้ง ฮ่าๆ ได้ฟรีด้วยเพราะห้องว่างอยู่ พอย้ายห้องเป็นที่เรียบร้อย เปลี่ยนใส่ชุดคลุมของรพ. คุณพยาบาลก็เข้ามาบอกว่า ต้องเช็คช่องคลอดเพื่อดูว่าเปิดหรือยัง ตอนนั้นน้ำตาปริ่มตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มแล้ว กลัวมาก เวลามิดไวฟตรวจต้องขอ gas and air มาดมเป็นกำลังใจกันเลยทีเดียว กะเอาให้มึนว่างั้นเถอะ  แต่แก๊สเชี่ยไรเรี่ย ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย แถมมิดไวฟคนนี้มือใหญ่ด้วย จะดีนิดตรงที่ว่ามิดไวฟคนนี้ใจเย็น ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ปวดน้ำตาเล็ด ตรวจเสร็จชีบอกยังไม่เปิดนะคะ ต้องใส่แคปซูลสอดเพื่อช่วยให้เปิด อ้าว นั่นก็หมายความว่า ต้องยัดมือเข้ามาอีกล่ะเซ่ะ ฮือๆๆ ร้องไห้กันไปอีกรอบ สามีก็สงสารเราสุดๆ เราก็ร้องไห้ทั้งปวดท้อง ทั้งเจ็บ ทั้งกลัว เสร็จขั้นตอนนี้ก็ระบมเลยอ่ะ

...ระหว่างที่รอให้แคปซูลทำงาน (มันจะไปโป่งข้างใน ช่วยดันให้ปากมดลูกเปิด) ชั่วโมงกว่าๆผ่านไป เริ่มปวดฉี่ แต่ฉี่ไม่ออก ปวดจนขาสั่น ครั้งแรกที่ไปห้องน้ำพอฉี่ได้ทีนี่ลมใส่เลย ปวดมาก ถามมิดไวฟเค้าก็บอกว่ามันไม่เกี่ยวกัน มันไม่ได้ไปขวางการฉี่ แต่เราว่าเกี่ยวชัวร์เพราะตั้งแต่สอดไอ้ลูกโป่งนี่มา ฉี่ทีนี่ทำเอาปางตาย พอหลังอาหารเที่ยงปวดฉี่ครั้งที่สอง พยายามลุกออกจากเตียงจะเดินไปห้องน้ำ แต่ไปยืนได้แค่ข้างเตียง ขาสั่นผับๆๆๆ น้ำตาไหล มันปวดแบบจะทะลัก นี่ไม่นับยังปวดท้องคลอดเป็นระยะนะ ถ้าปวดพร้อมกันก็ น้ำตาร่วงกราว กำลังกลั้นใจจะเดินไปห้องน้ำเพราะปวดฉี่มาก แต่มันปวดกจนลงไปนอนกับพื้น สามีกดเรียกมิดไวฟ หน้าซีดกลัวเมียคลอด ชีมาถึงก็จะช่วยพยุงเราไปห้องน้ำ แต่เราเดินไม่ได้ ขาสั่นไม่มีแรง และปวดเหมือนมีอะไรจะดันออกมา ต้องกอดขาเตียง ขาสั่นผับๆ น้ำตาไหล ไม่ไหวแล้ว ต้องเบ่งฉี่ ไม่เคยเบ่งฉี่มาก่อนในชีวิต เบ่งไปกลัวคลอดลูกไป พยาบาลงงเลย ฉี่ตรงพื้นนั่นแหล่ะค่ะ ไปไหนไม่รอด ร้องไห้ตลอด ขอโทษคุณพยาบาลบอกว่าเราไม่ได้ตั้งใจ เดี๋ยวเช็ดทำความสะอาดเอง แต่ชีบอกไม่เป็นไร ช่วยพยุงเรานั่งบนเตียง แล้วก็มาเช็ดขา ทำความสะอาดให้เรา ให้เรานอนพักแล้วก็ไปเช็ดพื้น ณ ตอนนั้นมิดไวฟสงสารเรามาก บอกให้เรานอน แต่เรานอนไม่ได้เพราะปวดท้องคลอด ไม่รู้เค้าเรียกเจ็บหลอก เจ็บเตือน แต่กรูเจ็บจริง ไรจริง ฮ่าๆ เลยขอยาแก้ปวด มิดไวฟบอกว่า ยาที่หมอสั่งให้ มันไม่ได้ผลสำหรับเรา เหลือยาอีกตัวเดียวคือ เพดทีดีน (เราเคยได้ยินมาว่า ทำให้เวียนหัว) ที่เราระบุไว้ใน hospital note ว่าไม่เอาเด็ดขาด แต่ตอนนั้นไม่ไหวแล้ว ถึงจะเวียนหัวอ้วก กรูก็ยอม ขอให้ได้นอนหน่อยเถอะ เหนื่อยเหลือเกิน มิดไวฟเลยไปขอให้หมอสั่งยามาให้ ชีบอกว่ามันจะทำให้หลับได้สี่ถึงหกชั่วโมงนะ แล้วก็ฉีดยาให้ที่ต้นขา ปรกติเป็นคนกลัวเข็ม แต่ตอนนั้นปักเข็มมาไม่รู้สึกอะไรเลย ปวดท้องมากกว่า สิบห้านาทีผ่านไป ประมาณบ่ายโมงกว่าๆ ยาเริ่มออกฤทธิ์ บอกสามีว่า อย่าเพิ่งทิ้งไปไหนนะ กลัว ไว้ให้เราหลับก่อน แล้วเค้าค่อยกลับไปบ้านกินอาหารกลางวัน แล้วก็เอากระเป๋าสำหรับเราและลูกมาให้ เค้าก็นั่งจับมือเราไว้ เราก็นอนปวดท้องไป ร้องไห้ไป เริ่มมึนๆล่ะ สามีบอกประมาณสิบห้าถึงยี่สิบนาทีมั้ง เราก็หลับ เค้าก็เลยกลับไปบ้าน กะจะพักสักสองสามชั่วโมง เพราะมิดไวฟบอกเราคงหลับนาน เราหลับไปสองชั่วโมงกว่าๆ tea lady เข็นรถเข็นมาถามจะเอาชากาแฟ ข่าเอ๊ย คนกำลังหลับๆ ถูกปลุกให้ตื่น แถมมาอารมณ์เสียใส่เราอีกนะ ว่าเราพูดไม่รู้เรื่อง คิดดูมันปลุกคนท้องที่กำลังหลับๆ ถามว่าจะกินชาหรือกาแฟ โมโหมาก แต่ยังมึนๆ ไม่ได้ตอบอะไรไป คุณเธอเลยเอาไม่รู้ว่าชาหรือกาแฟวาง บ่น แล้วก็ไป ทำให้เรานึกโกรธมิดไวฟไปด้วยว่า กรูจะนอน กรูจำเป็นต้องนอนพัก แหม จะแปะประกาศบอกคนไม่ให้กวนก็ไม่ได้ พอบ่ายสามกว่าๆ เราตื่น ก็แบบงงๆ ไหงบอกจะหลับสี่ถึงหกชั่วโมงไง ยาล้มช้างแกเนี่ย ฉันหลับไปสามชั่วโมงหน่อยๆ เอง พอตื่นแล้วทีนี้ก็ปวดฉี่ อาการปวดทะลักมาอีกแล้ว ร้องไห้เลย ไม่ไหวอ่ะ ยังนอนพักไม่พอ เหนื่อยด้วย ลุกออกจากเตียงก็ไม่ได้ไม่มีแรง กดเรียกมิดไวฟไปสิบนาทียังไม่มีใครโผล่มาดู โทรเรียกสามีบอกให้มาด่วนเลย ปวดมากไม่ไหวแล้ว ลงจากเตียงไม่ได้ แต่ฉี่มันจะออกมาแล้ว ปวดหน่วงสุดชีวิต เลยหันตัวเกาะหัวเตียง ตอนนั้นปวดมากจนร้องตะโกนลั่นเลย ไม่ไหวแล้วอ่ะ เบ่งสุดชีวิต ถ้าคลอดก็คลอดว่ะ แล้วมันก็ปวดแสบปวดร้อน ปวดที่สุดในชีวิตแล้ว ณ ตอนนั้น ฉี่ราดบนเตียง ทั้งๆที่เกาะหัวเตียงนั่นแหล่ะ ร้องไห้ด้วย กลัวด้วย มันต้องเบ่ง ไม่งั้นมันฉี่ไม่ออก แต่ตอนฉี่ที่ต้องเบ่งก็ปางตาย แล้วไม่ใช่ฉี่ออกมาอย่างเดียว ริดสีดวงก็เป่งหลุดมาด้วย เพราะมันเบ่งสุดแรง มิดไวฟมาเห็นเข้าก็ตกใจ บอกให้เราลงจากเตียง เราก็บอกลงไม่ได้ ขยับไม่ได้ จนฉี่ออกแล้วนั่นแหล่ะ เค้าก็ช่วยกันพยุงไปนั่งบนเก้าอี้ แล้วก็มาทำความสะอาด เปลี่ยนผ้าปูเตียงให้ แต่นั่งแล้วปวดมาก เพราะมันไปกดทับน้องริด ทีนี้ได้ของแถมปวดเพิ่มมาอีกอย่าง แบบว่าปวดท้องคลอดไม่พอ ปวดฉี่ๆไม่ได้ไม่พอ ปวดตูดไปด้วยเลยละกัน เอาให้ครบทั้งช่วงล่าง ไหนๆก็จะพังแล้วนี่นะ ก็นั่งก็ปวด นอนก็ปวด ขยับก็ปวด สามีแทบจะร้องไห้ไปด้วยสงสาร นอนปวดทรมานจนตกเย็น เลยบอกมิดไวฟขอยาเพิ่ม มิดไวฟก็ไปปรึกษาหมอ หมอก็สั่งเพดทีดีนให้อีกเข็ม ไม่งั้นอิแม่ไม่มีแรงเบ่งคลอดลูกแน่ ไม่ได้นอนหลายวันขนาดนี้ พอยาออกฤทธิ์ ประกอบกับสองทุ่มแล้ว สามีก็เลยต้องกลับบ้าน เราก็หลับไป "ชั่วโมงครึ่ง" ตื่นมาดูนาฬิกาแล้วร้องไห้เลย ไหนบอกจะนอนได้นานกว่านี้ไง กดเรียกมิดไวฟมา ทีนี้เค้าเปลี่ยนกะแล้ว คนใหม่ก็ตามเรื่องอยู่ เราก็ร้องไห้ เพลียจนอ้วก ไม่คิดว่าจะปวดเพิ่มได้แล้ว แต่มันปวดมากขึ้นไปอีก ตกกลางคืนพยาบาลคนใหม่ชื่อ วิกกี้มาดูแล อายุยังน้อยแต่น่ารักมาก กดเรียกทีไรก็รีบมาดูอาการเราตลอด ทีนี้เราปวดฉี่ บอกช่วยให้พาเราไปห้องน้ำหน่อย เราก็ขอให้เค้าอยู่ในห้องน้ำด้วย เพราะเราขาสั่น ขนาดจะนั่งลงบนโถนั่งยังทำเองไม่ได้ ณ ตอนนั้นไม่ได้ปวดฉี่จะทะลักอย่างเดียว ปวดตูดน้องริดด้วย ฉี่ไปร้องไห้ไป มิดไวฟหน้าเสียเลย พอพาเรากลับไปห้องพักแล้ว ก็รีบไปปรึกษาหมอบอกว่า อาการน่าเป็นห่วง คุณหมอผู้หญิงก็มา บอกว่าต้องเช็คดูหน่อยว่าปากมดลูกเปิดหรือยัง ฮือๆๆ กรูยังซวยไม่พออีกเหรอว่ะเนี่ย บอกไปว่ากลัวเพราะมันเจ็บมาก คุณหมอก็สั่งมิดไวฟให้ไปถอยแก๊สมาให้ดม มิดไวฟก็ช่วยกุมมือ ตอนหมอยัดมือเข้าไปเช็ค เราก็ร้องไห้ลั่น ได้ยินกันทั้งแผนกอ่ะ รับรอง ปวดมาก และคุณหมอก็บอกว่า อืม ปากมดลูกไม่เปิดเลยสักนิด อ้าว ซวยแล้วไงกรู ยัดไอ้ลูกโป่งนี่มาทั้งวัน เกินสิบชั่วโมงแล้ว ไม่ได้ผลอะไรเลยเหรอว่ะเนี่ย ก็เลยให้ยาแก้ปวดมากิน ซึ่งไม่มีผลใดๆทั้งสิ้น เราก็ทำได้แค่นอนร้องไห้ทั้งคืน

...เช้าวันเสาร์ (เลยกำหนดคลอดมาหนึ่งอาทิตย์กะอีกหนึ่งวัน) ตอนแปดโมงเช้า สามีมาเห็นเข้าตกใจ เมียตาบวม ตาโหล สภาพเหมือนคนไร้สติ ร้องไห้ขอร้องสามีให้ช่วยให้อาการปวดหายไป จะให้ยาอะไรก็ได้ ไม่งั้นก็ขอให้ผ่าคลอดเถอะ สามีก็บอกมิดไวฟว่าจะคุยกับหมอ ทีนี้เป็นเรื่องเลย เริ่มจากส่งคอนซัลแทนมาคุย บอกว่า นโยบายรพ. ถ้าแม่ไม่ปางตาย เอ๊ย แม่(ยัง)ไม่เป็นอะไร ลูกไม่เป็นอะไร ไม่ผ่าครับ สามีโมโห แล้วไอ้ที่นอนพะงาบจะตายอยู่เนี่ยคืออะไรว่ะ โห มีฉุนอ่ะ ขอคุยกับหมอใหญ่ แต่ทีนี้เค้าส่งเลขาของหมอมาอธิบายอีกคนว่า ผ่าไม่ได้ค่ะ เมียคุณปรกติดี คนท้องก็ปวดท้องแบบนี้แหล่ะ สามีกริ้วฉิบหายตอนนั้น บอกไปว่า ก็เห็นๆอยู่ว่าพะงาบๆไม่ไหวแล้ว เมียไม่ได้นอนพักมาสี่ห้าวันติดๆ จะคลอดได้ไงเนี่ย ไม่มีแรงเบ่งหรอก ไอ้ยาที่ให้ๆมาก็ไม่ได้ผล ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล แต่นี่มันเกินไปแล้ว ต้องปางตายจริงๆหรือไง ถึงจะทำอะไรกันสักอย่าง ยัวะจัดเลยเลยบอกเลขาไปว่า ถ้ารพ.ยูไม่ช่วย ไอขอทำเรื่องพาเมียเข้าไปผ่าคลอดที่ลอนดอนตอนนี้เลย เลขาหายไปสักพักชม.กว่าๆ กลับมาพร้อมกับคุณหมอที่คุมแผนกคลอด หมอน่ากลัวมาก ดุด้วย มาถึงก็ดูแฟ้ม ถามอาการเรา สามีบอกจะพาเราไปผ่าที่ลอนดอน ให้หมอทำเรื่องส่งตัวออกด้วยเลย ตอนนี้เลย ไม่รอแล้ว หมอก็บอกใจเย็นๆ ขอตรวจอาการก่อน เราก็ขอยาเพดทีดีนเพิ่มได้ไหม หมอดุเลย บอกว่า เราได้ยา เพดทีดีนพอแล้ว มันแรงล้มช้างได้ทั้งตัว อ่ะเหรอ ทำไมกรูยังไม่หลับอ่ะ ให้รับเพิ่มอีกไม่ได้อันตราย แล้วก็มากดท้องจับท้องเราดู แล้วก็บอกว่า มิน่า ทำไมปวดมาก ก็หัวลูกยูไปติดอยู่ตรงสะโพก สามีกับเรามองหน้ามิดไวฟทันที อะไร หัวลูกเข้าช่องเชิงกรานแล้วมีใส่เกียร์ถอยหลังออกมาติดสะโพกได้ด้วยเหรอว่ะ มิดไวฟเองยังงงกับคำวินิจฉัยของหมอ และหมอก็บอกว่า เมื่อเช้ายูกินอะไรไปยัง ก็บอกว่ากัดหนมปังปิ้งไปคำ มิดไวฟบอกให้กิน หมอก็เลยบอกว่า โอเค ยูต้องผ่าคลอด แต่ผ่าคลอดตอนนี้ไม่ได้เพราะยูกินอาหารเข้าไป ต้องรอไปอีกหกชั่วโมง แล้วก็ออกไป เออนะ ยืนยันกันเสียงแข็ง ขาแข็ง หน้าแข็งว่าผ่าให้เราไม่ได้ แล้วไหงหมอมาตรวจบอกผ่าได้ล่ะทีนี้ ด้วยเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นอีกตะหาก หมอคงเห็นสภาพเราแล้วว่าหล่อนคงไปไม่รอดแน่ๆ แถมขึ้นตอนการเร่งคลอดก็ไม่ได้ผล ช่องคลอดไม่เปิดอีกต่างหาก หรือไม่งั้นก็กลัวคำขู่ของสามีเรา เลยจัดการเรื่องผ่าให้  วันนั้นก็เลยได้กำหนดคลอดช่วงบ่ายสามโมงกว่าๆ มา พอเราได้ยินแค่นั้นแหล่ะ ร้องไห้เลย ฮือ ปวดท้อง ปวดตูดอีกแค่หกชั่วโมงเท่านั้น ทนไปๆ ในใจก็ท่อง epiduralๆๆๆ รอแทบไม่ไหว

จากนั้นคุณมิดไวฟก็ยิ้มๆ ไม่พูดอะไรกับคำวินิจฉัยของหมอ แล้วชีก็มาทำการต่อท่อหลังมือ เพื่อเตรียมให้ยาตอนผ่า พี่สะ-ใภ้ขู่เว่อร์ว่าเจ็บแสนสาหัส ไอ้เราก็กลัวดิ พอเจาะจริงๆ ไรวะ ไม่เห็นรู้สึกไรเลย ไม่รู้ว่าปวดท้องมากกว่าหรือเปล่า เลยไม่ได้ใส่ใจตอนเจาะ เสร็จแล้วก็เอาลูกโป่งออก ขอบอกว่า พอดึงออกเท่านั้นแหล่ะ โล่งทันที อาการปวดท้องปวดฉี่หายไปเลย เหลือแต่ปวดท้องคลอดกับปวดตูด แล้วมิดไวฟก็มาทำการต่อท่อฉี่ให้ ขอบอกว่ากลัวมาก แต่จริงๆแล้วไม่เจ็บเลย คิดว่าช่วงล่างพังถาวรแล้วแน่ๆ ฮ่าๆ ฉี่โดยไม่ต้องเบ่งนี่มันเริ่ดมากจริงๆ ระหว่างนั้นก็นอนปวดเกร็งท้อง สลับกับการเจ็บตูด แต่ตอนนั้นเจ็บน้องริดมากกว่า เพราะปวดท้องยังไปๆมาๆ ปวดตูดนี่ถาวรตั้งแต่เบ่งฉี่คราวนั้นแล้ว  และแล้วก็บ่ายสาม มิดไวฟเข้ามาบอกให้เราเตรียมตัว ใส่ชุดคลุมรพ. เก็บของให้เรียบร้อยเพราะเค้าจะย้ายเราไปห้องผ่าคลอด ส่วนของเราจะไปรอที่ห้องพักฟื้น แล้วก็เอาเอกสารมาให้เราเซ็นต์ รายละเอียดคืออะไรไม่รู้ แต่คิดว่า หากตายจะไม่ฟ้องมัน อะไรงั้นมั้ง ฮ่าๆๆ ก็เซ็นต์ๆไป แล้วก็ขอให้เค้าเอารถเข็นมาให้ เพราะปวดตูดมาก เดินไม่ได้แล้ว  ถ้าใครที่รู้จักเราจะรู้ว่า เรากลัวการผ่าคลอด กลัวการบล็อคหลังขนาดไหน เพราะโดนขู่มาตั้งแต่เด็ก  แต่ตอนที่ถูกเข็นไปห้องผ่า ต้องบอกว่า อารมณ์เย็น สงบมาก ไม่กลัว ไม่ร้องไห้เลย โล่งใจมากกว่าว่าไม่ต้องทนปวดอีกแล้ว และที่สำคัญจะได้เห็นหน้าลูกแล้วด้วย ระหว่างทางมิดไวฟก็บอกให้สามีไปใส่ชุดคลุมอะไรให้เรียบร้อย เค้าจะเข็นเราไปรอในห้องคลอด

ที่ห้องคลอด สว่างพอควร บรรยากาศเย็นๆ แต่ไม่หนาวไม่ร้อน มีเสียงเพลงเบาๆ หมอพยาบาลคุยกันยังกะไปพักร้อน และไม่มีกลิ่นแอมโมเนียหรือยาฆ่าเชื้อแรงๆ กลิ่นปรกติเหมือนห้องธรรมดา ซึ่งดีมาก ที่กลางห้องจะมีเตียงผ่าอยู่เตียง ดูเผินๆนึกว่าเตียงนอนสระผม ฮ่าๆๆ มันเล็กๆแคบๆ ไปถึงพยาบาลก็ช่วยให้เราไปนั่งบนเตียง ชวนเราคุย ใจดีมาก แล้วก็บอกให้เราก้มต้วไปข้างหน้า พยายามอยู่นิ่งๆเวลานะคะ เราก็เครๆ วิตกอยู่เหมือนกัน กลัวเข็ม แต่ตอนนั้นหลับตา แล้วก็กอดพยาบาลซะแน่น ชีก็กอดตอบนะใจดีมาก หมอก็มาทายาชาให้ ตรงกลางสันหลังช่วงล่างๆ มันก็เย็นๆนะ แล้วก็เอาอะไรเย็นๆมาพ่น สักพักรู้สึกดีมาก อาการปวดใดๆ หายไปเป็นปลิดทิ้ง ไอ้เราก็โห ยาชานี่ดีเนอะ แล้วพยาบาลก็บอกให้เรานอนก่อนที่ยาจะออกฤทธิ์ อ้าว เฮ้ย เสร็จแล้วหรือเนี่ย ว้าว ไอ้เราก็กลัวการบล็อคหลังมาทั้งชีวิต จริงๆแล้วไม่รู้สึกอะไรเลย ตอนนั้นสวรรค์มาก เหมือนยกภูเขาออกจากอก ไม่เจ็บ ไม่ปวด นี่ดีจริงๆ ..พอเรานอนสักพักก็เริ่มรู้สึกชาขึ้นเรื่อยๆ หมอก็เอาสเปรย์มาพ่นช่วงขา ท้อง ไหล่ คิดว่านะ มองไม่เห็นหรอก เค้าเอาไอ้ชุดคลุมรพ.ที่เราใส่กั้นตั้งแต่หน้าอกเราลงไป ช่วงล่างนี่เปลือย ตอนนั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องความอายอะไรเลย ลืมสนิท พ่นสเปรย์ไปก็ถามนี่รู้สึกไหม๊ เย็น หรือว่าลม หรือว่าอะไรสักอย่างเนี่ยแหล่ะ ถามอยู่สองสามรอบ สักพักก็ได้ยินว่าพร้อมจะผ่า เราก็เฮ้ยๆ เดี๋ยวสิคุณหมอ ฉันคิดว่ายังรู้สึกว่านิ้วเท้ายังขยับได้อยู่เลยนะ หมอพยาบาลหมอหน้ากันแล้วหมอก็ถามเราว่า ยูลุกออกจากเตียงลงไปวิ่งได้ไหม๊ เราก็พยายามขยับ แล้วก็ตอบไปว่า ไม่ได้ค่ะ พวกเค้าก็หัวเราะกัน แล้วก็บอกเราว่า งั้นยูโอเค ชาทั้งตัวแล้ว เพราะระหว่างที่ยูบอกว่านิ้วขยับได้ ไอก็เทสนะ คงจิ้มด้วยเข็มหรือไรมั้ง เราไม่ได้ร้องนี่ ฮ๋าๆๆ อ้าวเหรอ สักพักสามีก็มานั่งข้างๆ หัว ถามว่าเป็นยังไง ไม่ต้องกลัวนะ แต่เอ๊ะ ยูไม่ได้ร้องไห้นี่นา แถมยิ้มอีกตะหาก เกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นสามีบอกว่าเราลั้นลามาก พูดแต่ว่า รักคุณหมอๆๆ เค้าขำกันทั้งห้องผ่า อิเมียเมายาชา ฮ่าๆๆ แต่ยังมองเห็น มีสตินะคะ แล้วคุณหมอคนที่ให้เราผ่า ก็มาทำการผ่าให้เรา ฮีเข้ามาก็ลงมือเลย ตอนนั้นรู้สึกว่า มีคนโยกตัวเราไปมา สักพักไม่เกินห้านาที ก็รู้สึกเหมือนกับโล่งอก เหมือนถูกดึงอะไรออกไปจากตัวแบบเบาๆ แล้วเราก็ได้ยินเสียงเด็กร้อง แง๊ เบาๆ ไม่ได้ร้องเสียงดังเหมือนในหนังนะ แค่ แง๊ๆ เบาๆ น้ำตาไหลพรากเลย ลูกปลอดภัยแล้ว ร้องด้วย แล้วหมอก็ยื่นลูกสุงๆ ให้ดู ตอนนั้นเห็นแต่ด้านหลังและตูด กับผมดำๆ เต็มหัวเลย พระเจ้า ตัวใหญ่จังเลย เด็กที่เดือนแล้วว่ะนั้น เด็กเพิ่งคลอดต้องตัวเล็กๆ สิ หันไปมองหน้าสามี สามียังงงเลย แล้วเค้าก็ส่งลูกเราไปเช็คที่เคาน์เตอร์ เราก็บอกไปสามีไปประกบ ห้ามพลาด ถ่ายรูปด้วย เอาให้ชัดๆนะไม่งั้นเคืองนะโว้ย กลัวว่าจะโดนสลับลูกหรือเปล่า สามีก็ขำ ยูผ่าอยู่คนเดียวในห้องนี่ จะไปสลับกับใคร เมายาชาจนเพ้อ สามียืนยันด้วยว่า เค้าเอาป้ายชื่อเราแปะขาลูกเราทันที ไม่มีการผิดตัวแน่นอน แล้วพยาบาลก็ถามหาหมวก  เราก็มองสามีเลย เอามาป่าว ลืม มีสวนแน่ สามีก็รีบยื่นหมวกที่เราเตรียมไว้ให้ลูกมาใส่ให้เค้าเลย น่ารักมาก จัดการห่อผ้า แล้วก็ให้สามีเราอุ้ม สามีก็อุ้มมาให้เราดู เราก็เอียงได้แต่คอ ไอ้หอยเอ๊ย เมิงดูอยู่คนเดียว ก้มๆหน่อยสิ กรูมองไม่เห็นเฟ้ย สามีมัวแต่เห่อลูก ลืมอิเมียเลย ผ่าเอาลูกเราออกใช้เวลาไม่นาน แต่ไอ้ตอนเย็บเก็บงานนี่สิ สักพักเลยอ่ะ พอเสร็จเรียบร้อย คุณหมอผ่ามีแซว อ้าวยูยิ้มเป็นด้วยเหรอ นึกว่าเป็นแต่ทำตาตูดๆ อ้าวๆๆ มีแซว พอการผ่าเรียบร้อย เค้าก็ย้ายเรามาเตียงเข็น ลูกเราในตู้เข็น ตามมาติดๆ อิแด้ดดี้โดนไล่ออกไปเปลี่ยนชุดรอข้างนอกแล้ว

3 comments:

  1. อ่านทุกบรรทัด คิดภาพตามเลยค่ะ จะคลอดน้องเดือนตุลาคมเหมือนนกันค่ะ กลัวมากกก แต่คงต้องทำใจ T.T

    ReplyDelete
    Replies
    1. อย่าไปกลัวเลยค่ะ แต่ละคนก็ต่างกันไป ตอนผ่าคลอดนี่ไม่เจ็บเลยนะคะ จะเหนื่อยก็ตอนปวดท้องคลอดกับโดนเร่งคลอดน่ะคะ ถ้าอยู่เมืองไทยหมอทำคลอดให้ ไม่ต้องรอเจ็บท้องก็สบายใจ ถ้าคลอดเมืองนอกหรือที่อังกฤษนี่ ก็มีลุ้นกันหน่อยแต่สุดท้ายไม่ว่าจะเหนื่อยยังไง ก็ได้ลูกน้อยน่ารักๆมานอนกอดค่ะ

      Delete
  2. กลัวค่ะ ตอนเด็กๆ คอยคิดว่าไม่อยากเกิดเป็นผู้หญิงเพราะไม่อยากท้อง แต่โชคดีที่สามีไม่อยากมีลูกเหมือนกัน แต่ก็ต้องคุมให้ดีๆ :D

    ReplyDelete